วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดสื่อเทคโนโลยีการศึกษา

1.ประเภทของสื่อเทคโนโลยีการศึกษาที่แบ่งตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้กี่ประเภทอะไรบ้าง

ตอบ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2545 ได้ระบุไว้ในหมวด 9  ประกอบด้วย 4 ส่วนคือ
1. สื่อโสตทัศน์
2. สื่อมวลชน
3. สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม รวมคอมพิวเตอร์
4. สื่อที่เป็นแหล่งวิทยาการเช่น หอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์  เป็นต้น


2. ประเภทของสื่อเทคโนโลยีการศึกษาที่แบ่งตามลักษณะทั่วไปได้กี่ประเภท อะไรบ้าง จงหาภาพมาประกอบ

ตอบ  สื่อเทคโนโลยีการศึกษาที่แบ่งตามลักษณะทั่วไปมี 4 ประเภท คือ

1.สื่อไม่ใช้เครื่องฉาย

• สิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือ  ตำราเรียน  คู่มือฯ         

             
               
            • ของจริงของตัวอย่าง
           


            • ของจำลองหุ่นจำลองขนาดเท่าหรือขยายเท่าของจริง


            

            • วัสดุกราฟิก เช่น แผนภาพ แผนภูมิโปสเตอร์ ภาพถ่ายภาพเขียน การ์ตูน


             



            • กระดานดำ กระดานขาว

            

            • กระดานแม่เหล็กกระดานผ้าสำลี


            

            • การศึกษานอกสถานที่


            



2.สื่อที่ใช้เครื่องฉาย

• เครื่องฉายทึบแสง






• สไลด์





• วีดิทัศน์





3. สื่อที่ใช้เครื่องเสียง

• วิทยุ

• เทปบันทึกเสียง



• แผ่นซีดี






4.สื่อเชิงโต้ตอบ


• คอมพิวเตอร์




• บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน




• อินเตอร์เน็ต






• การสอนใช้เว็บเป็นฐานการสอนบนเว็บ





3. ประเภทของเทคโนโลยีการศึกษาที่แบ่งตามประสบการณ์ เป็นของนักการศึกษาท่านใด และมีการจัดประสบการณ์จากนามธรรมไปสู่รูปธรรมโดยเริ่มต้นจากประสบการณ์ใดไปประสบการณ์ใดจงอธิบาย

ตอบ  เอดการ์ เดล (Edgar Dale) ได้จัดแบ่งสื่อการสอนเพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างโสตทัศนูปกรณ์ และแสดงเป็นขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้สื่อ นำมาสร้างเป็น กรวยประสบการณ์”  (Cone of Experience ) แบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
     1. ประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นขั้นที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากของจริง สถานที่จริง
     2. ประสบการณ์รอง ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด
     3.ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติ หรือการแสดงละคร
     4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือกระทำประกอบคำอธิบาย
     5. การศึกษานอกสถานที่ ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ภายนอกที่เรียน
     6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ การจัดป้ายนิเทศ
     7.โทรทัศน์ ใช่ส่งได้ทั้งระบบวงจรเปิดหรือวงจรปิด การสอนจะเป็นการสอนสดหรือบันทึกลงบนวีดิทัศน์
     8. ภาพยนตร์ เป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ลงบนฟิล์ม
     9. การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง เป็นการฟังหรือดูภาพโดยไม่ต้องอ่าน
    10. ทัศนสัญลักษณ์ เช่น แผนภูมิ แผนที่ แผนสถิติ
    11. วจนสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นขั้นนามธรรมมากที่สุด ได้แก่ ตัวหนังสือ เสียงพูด




การจากกรวยประสบการณ์นี้  เดลได้จำแนกสื่อเป็น 3 ประเภท คือ
     1. สื่อประเภทวัสดุ หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเองจำแนกย่อยได้ 2 ลักษณะ
          1.1วัสดุประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นใช้อุปกรณ์อื่นช่วย เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพ
          1.2วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย เช่น แผ่นซีดี ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์
     2. สื่อประเภทอุปกรณ์ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านทำให้ข้อมูลถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน
     3. สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็นแนวความคิดหรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน


4.การสื่อสารหมายถึงอะไร

ตอบ    คำว่า  การสื่อสาร (communications)  มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า  communis หมายถึง  ความเหมือนกันหรือร่วมกัน   การสื่อสาร (communication)    หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร  ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์  ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร  โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน  บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล



5.สื่อและเทคโนโลยีการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารในองค์ประกอบใด จงอธิบาย

ตอบ  เป็นสื่อและช่องทางเพราะเป็นสื่อกลางที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน เช่น สิ่งพิมพ์ กราฟิก สื่ออิเล็กทรอนิกส์



6.จงเขียนแบบจำลองของการสื่อสารของเดวิดเบอร์โล มาพอเข้าใจ

ตอบ  เดวิด เค เบอร์โล (David K. Berlo) เสนอแบบจำลองการสื่อสารไว้    เมื่อปี พ.. 2503 โดยอธิบายว่า การสื่อสารประกอบด้วยส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญ 6 ประการ คือ

            1. ต้นแหล่งสาร (communication source)

2. ผู้เข้ารหัส (encoder)

3. สาร (message)

4. ช่องทาง (channel)

5. ผู้ถอดรหัส (decoder)

6. ผู้รับสาร (communication receiver)

จากส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญ 6 ประการนั้น เบอร์โล ได้นำเสนอเป็นแบบจำลองการสื่อสารที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปว่า "แบบจำลอง SMCR ของเบอร์โล"(Berlo's SMCR Model)โดยเบอร์โลได้รวมต้นแหล่งสารกับผู้เข้ารหัสไว้ในฐานะต้นแหล่งสารหรือผู้ส่งสาร และรวมผู้ถอดรหัสกับผู้รับสารไว้ในฐานะผู้รับสาร แบบจำลองการสื่อสารตามแนวคิดของเบอร์โลนี้ จึงประกอบไปด้วย S (Source or Sender) คือ ผู้ส่งสาร M (Message) คือ สาร C (Channel) คือ ช่องทางการสื่อสาร R (Receiver) คือ ผู้รับสาร ซึ่งปรากฎในภาพต่อไปนี้





จากแบบจำลองการสื่อสารตามแนวคิดของเบอร์โลข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ส่งสาร (Source or S) คือ ผู้เริ่มต้นการสื่อสาร ทำหน้าที่ในการเข้ารหัส ซึ่งผู้ส่งสารจะทำหน้าที่ในการสื่อสารได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติต่าง ๆ 5 ประการคือ

1. ทักษะในการสื่อสาร เช่น ความสามารถในการพูด การเขียน และ ความสามารถในการคิดและการใช้เหตุผล เป็นต้น

2. ทัศนคติ หมายถึง วิธีการที่บุคคลประเมินสิ่งต่าง ๆ โดยความโน้มเอียงของตนเองเพื่อที่จะเข้าถึงหรือเป็นการหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ๆ เช่น ทัศนคติต่อตนเอง ต่อหัวข้อของการสื่อสาร ต่อผู้รับสาร ต่อสถานการณ์แวดล้อมการสื่อสารในขณะนั้น เป็นต้น

3. ความรู้ หมายถึง ความรู้ของผู้ส่งสาร ในเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ บุคคลหรือกรณีแวดล้อมของสถานการณ์การสื่อสารในครั้งหนึ่ง ๆ ว่ามีความแม่นยำหรือถูกต้องเพียงไร

4. ระบบสังคม ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการสื่อสารของบุคคล เพราะบุคคลจะขึ้นอยู่กับกลุ่มทางสังคมที่ตนเองอยู่ร่วมด้วย

5. ระบบวัฒนธรรม หมายถึง ขนบธรรมเนียม ค่านิยม ความเชื่อ ที่เป็นของตัวมนุษย์ในสังคม และเป็นตัวกำหนดที่สำคัญในการสื่อสารด้วย เช่น การสื่อสารระหว่างบุคคลต่างวัฒนธรรมกัน อาจประสบความล้มเหลวได้เนื่องจากความคิดและความเชื่อที่มีไม่เหมือนกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
<!--[endif]-->


7.อุปสรรคของการสื่อสารมีอะไรบ้าง

ตอบ  อุปสรรคในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ของผู้สื่อสาร และผู้รับสาร   อุปสรรคในการสื่อสารอาจเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการสื่อสาร ดังนั้นอุปสรรค ในการสื่อสารจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้

•อุปสรรคที่เกิดจากผู้ส่งสาร
 1.1  ผู้ส่งสารขาดความรู้ความเข้าใจและข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ต้องการจะสื่อ 
 1.2  ผู้ส่งสารใช้วิธีการถ่ายทอดและการนำเสนอที่ไม่เหมาะสม 
 1.3  ผู้ส่งสารไม่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี และไม่เหมาะสม 
 1.4  ผู้ส่งสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการส่งสาร 
 1.5  ผู้ส่งสารขาดความพร้อมในการส่งสาร 
 1.6  ผู้ส่งสารมีความบกพร่องในการวิเคราะห์ผู้รับสาร


•อุปสรรคที่เกิดจากสาร
 2.1  สารไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร อาจยากหรือง่ายเกินไป 
 2.2  สารขาดการจัดลำดับที่ดี สลับซับซ้อน ขาดความชัดเจน 
 2.3  สารมีรูปแบบแปลกใหม่ยากต่อความเข้าใจ 
 2.4  สารที่ใช้ภาษาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน 



•อุปสรรคที่เกิดจากสื่อหรือช่องทาง
3.1  การใช้สื่อไม่เหมาะสมกับสารที่ต้องการนำเสนอ 
3.2  การใช้สื่อที่ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี 
3.3  การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับระดับของการสื่อสาร 



•อุปสรรคที่เกิดจากผู้รับสาร
 4.1  ขาดความรู้ในสารที่จะรับ 
 4.2  ขาดความพร้อมที่จะรับสาร 
 4.3  ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสาร 
 4.4  ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสาร 
 4.5  ผู้รับสารมีความคาดหวังในการสื่อสารสูงเกินไป 






8.บทเรียน  e-Learning  เป็นส่วนใดขององค์ประกอบของการสื่อสาร
ตอบ  เป็นผู้ส่ง   ผู้รับ   สื่อกลาง   และข้อมูลข่าวสารสนเทศ
<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
<!--[endif]-->



9.ครูบอยกำลังสอนเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษเรื่อง Grammar ด้วยวีดิทัศน์กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จากข้อความดังกล่าวให้นิสิตเขียนแบบจำลองการสื่อสารของเดวิดเบอร์โล


ตอบ  





10.การปฐมนิเทศนิสิตใหม่ ณ หอประชุมธำรงบัวศรี เป็นการสื่อสารประเภทใด


ตอบ  การสื่อสารแบบกลุ่มใหญ่ (Large group Communication)

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ภาพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษา


ชื่อภาพ :
ห้องโสตทัศนศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ จังหวัดปทุมธานี
ที่มาของภาพ :
งานบริการวัสดุครุภัณฑ์ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์.  ห้องโสตทัศนศึกษา.
                (ออนไลน์).  เข้าถึงได้จาก : http:// http://bkk.vru.ac.th/services/audio/service_student.htm.
                (วันที่ค้นข้อมูล 10 มิถุนายน 2555).
คำอธิบายถึงความเกี่ยวข้องของภาพที่มีต่อเทคโนโลยีการศึกษา :
                เนื่องจากประสบการณ์การไปศึกษา หรือไปเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของผม ตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาระดับประถามศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา แม้กระทั่งระดับอนุบาลศึกษาบางแห่ง ล้วนมีห้องโสตทัศนศึกษาประจำเป็นของตนเองอยู่ด้วย 1 ห้อง ภายในห้องซึ่งมีชื่อเรียกแปลก ๆ นี้ มักจะมีอุปกรณ์ที่ล้วนแล้วแต่ประดิษฐ์คิดค้นจากเทคโนโลยีทั้งสิ้น เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ลำโพง เครื่องขยายเสียง ไมโครโฟน จอโปรเจคเตอร์ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องปรับอากาศ แผงควบคุมเครื่องเสียง หูฟัง เป็นต้น ประโยชน์ของห้องนี้คือ มีไว้ใช้เป็นห้องเรียนที่ต้องสอนโดยการใช้จอขนาดใหญ่ ฉายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาร่วมกัน และเป็นห้องเรียนที่มีจำนวนนักเรียนค่อนข้างมาก จะเรียนกันในห้องเรียนปกติทั่ว ๆ ก็ไม่สะดวกนัก ซึ่งปัจจุบัน ยังใช้ห้องโสตทัศนศึกษาเป็นห้องประชุมนักเรียนได้อีกด้วย
                เพราะฉะนั้น ห้องโสตทัศนศึกษาจึงมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษา เพราะเป็นห้องเรียนที่พิเศษกว่าห้องเรียนที่ใช้เรียนกันตามปกติ ความพิเศษที่กล่าวถึง ก็มาจากการนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้นั่นเอง

ความคาดหวังต่อการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา


                    ความคาดหวังต่อการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีการศึกษาของผม สามารถสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังต่อไปนี้
                1) ได้เรียนรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีการศึกษาในแต่ละด้านอย่างถูกต้อง ตั้งแต่ความหมาย ประเภท ประโยชน์ โทษ การคิดค้น การแก้ไข การพัฒนา การวิเคราะห์ การสังเคราะห์เทคโนโลยีการศึกษา ทั้งจากการเรียนในภาคทฤษฎี และการฝึกฝนในภาคปฏิบัติ เนื่องจากการมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง จะทำให้สามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรายวิชานี้ไปประยุกต์ใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างแท้จริง และมีความน่าเชื่อถือ สมกับความเป็นครู ที่นอกจากจะมีความรู้ท่วมท้นแล้ว ยังต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเชื่อถือได้อีกด้วย
2) สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีการศึกษาที่ต้องการใช้ได้จริง ๆ และมีความหลากหลาย ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดี เมื่อไปประกอบวิชาชีพครูในภายภาคหน้า การเรียนการสอนก็จะมีการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปด้วย ทำให้เกิดสัมฤทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ครูมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเรียนเทคโนโลยีการศึกษา แต่ไม่สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีการศึกษาได้ หรือเลือกใช้ได้ แต่ไม่มีความชำนาญ การเรียนรายวิชาก็จะเสียเปล่า เปรียบเหมือนการเรียนวิชาชีพครู แต่กลับไม่ยอมประกอบวิชาชีพครู วิชาชีพครูที่เรียนมาก็จะเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย
3) ได้เรียนเทคโนโลยีที่มีความหลากหลาย เนื่องจากหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ มองจากภายนอกแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันได้ แต่จริง ๆ แล้วมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเรียนการสอนก็เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ ถ้าเรียนกันในห้องเรียนอย่างเดียว นักเรียนก็จะยังไม่สามารถออกเสียงสำเนียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง ในทางตรง ครูผู้สอนอาจจะนำนักเรียนออกไปเรียนนอกสถานที่เพื่อให้นักเรียนฝึกสนทนากับชาวต่างชาติ แต่ในทางอ้อม เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา และไม่เหน็ดเหนื่อย คือหันมาเลือกใช้เทคโนโลยีที่จะทำให้นักเรียนออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องแทน โดยการสร้างโปรแกรมฝึกออกเสียงใช้กับนักเรียน ซึ่งสามารถสร้างให้หลากหลายได้ด้วยการเพิ่มลูกเล่นต่าง ๆ บูรณาการหรือประยุกต์เข้ากับการเรียนวิชาอื่น ทำให้นักเรียนสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น
4) ได้เรียนเทคโนโลยีที่ไม่มีความหยุดนิ่ง มีความทันสมัย ทันยุค ทันโลก ทันเหตุการณ์ เพราะในปัจจุบันมีนักพัฒนา ได้ทำการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพิ่มมากมาย เทคโนโลยีรูปแบบที่ใช้อยู่ ก็จะถูกทดแทนด้วยรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ในอนาคตก็เช่นกัน เนื่องจากคนเรามีความเบื่อหน่ายจำเจกับสิ่งเดิม ๆ สิ่งเก่า ๆ ต้องการความสะดวกสบายอย่างถึงที่สุด เพราะฉะนั้น เทคโนโลยีการศึกษาที่มีความสะดวกสบายมากที่สุด คือเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุด ส่งผลให้เทคโนโลยีที่มีความใหม่มากที่สุด ก็คือเทคโนโลยีที่ทุกคนยอมรับมากที่สุดนั่นเอง
5) มีเจตคติที่ดีต่อการนำเทคโนโลยีการศึกษาไปประยุกต์ใช้ หรือใช้ตรง ๆ ร่วมกับการปฏิบัติหน้าที่ครูในอนาคต เพื่อให้การเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนได้ประโยชน์จากการเรียนในชั้นเรียนอย่างแท้จริงผ่านการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีการศึกษาในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินสมควร ส่งผลให้การศึกษา เป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นสำหรับทุกคนที่ต้องการได้รับการศึกษา เนื่องจากบางคน มีความกลัวต่อการใช้เทคโนโลยีเป็นเรื่องส่วนตัว อาจเป็นเพราะว่ามีประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีแล้วเกิดความผิดพลาดหรือล้มเหลว เช่น ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แล้วมักจะทำงานที่บันทึกเอาไว้หายอยู่บ่อย ๆ หรือไม่กล้าใช้เทคโนโลยีต่อหน้าผู้อื่น เพราะกลัวความอับอายต่อการล้อเลียนว่า ใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ไม่ทันสมัย เป็นต้น เพราะฉะนั้น การเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการนำเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้ที่จะไปประกอบอาชีพทางด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก
6) สามารถคิดค้น หรือพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษาได้ด้วยตนเอง โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยดูแลให้คำปรึกษา คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดเทคโนโลยีการศึกษาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อวงการการศึกษามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการนำเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้ในอนาคตอีกด้วย
7) รู้จักโทษหรือด้านลบของการนำเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้อย่างเหมาะสม ไม่ได้รู้จักแต่ประโยชน์หรือด้านบวกของเทคโนโลยีการศึกษาเพียงอย่างเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีมากกว่าหนึ่งด้าน โดยเฉพาะเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น อินเทอร์เน็ต มีด้านที่เป็นประโยชน์คือใช้หาความรู้ได้รวดเร็วหลากหลาย แต่ก็มีด้านที่เป็นโทษคือทำให้บางคนหมกมุ่นอยู่กับการคลายเครียดด้วยอินเทอร์เน็ตมากเกินไป ทำให้เสียเวลา
8) เกิดความสนใจต่อเทคโนโลยีการศึกษาอย่างสร้างสรรค์ ไม่สนใจในทางทุจริต หรือทางพาณิชย์มากเกินไป เนื่องจากการเป็นครู ต้องนำเทคโนโลยีการศึกษา ไปใช้พัฒนาการศึกษาเท่านั้น
9) สามารถนำเทคโนโลยีการศึกษาไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ อันจะส่งผลดีต่อวงการการศึกษาอย่างแท้จริง เช่น นำเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้ศึกษาการทำการเกษตร ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้การทำการเกษตรผ่านเทคโนโลยีการศึกษานี้ เป็นต้น
10) คาดหวังให้รายวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างและสนับสนุนให้เกิดความคิดที่จะประกอบวิชาชีพครู หรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาในอนาคต ไม่เปลี่ยนความคิดที่จะไปประกอบอาชีพอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เพราะระบบการศึกษาของไทย ยังต้องการการพัฒนาอีกมาก ดังที่เห็นได้ในปัจจุบันว่า ระบบการศึกษาของไทย ยังล้มเหลวในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ระบบการรับนิสิตเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา การจัดสอบในส่วนกลางต่าง ๆ เป็นต้น ระบบการศึกษาไทย จำเป็นที่จะต้องมีผู้ที่ตั้งใจจะพัฒนาจริง ๆ และการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีการศึกษาที่มีคุณค่ามหาศาลนี้ ก็จะต้องส่งผลให้เกิดบุคคลเหล่านั้น

ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา


               ความเจริญในด้านต่าง ๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลองประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นำออกเผยแพร่ใช้ในกิจการด้านต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการต่าง ๆ เหล่านั้น และวิชาการที่ว่าด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่าง ๆ จึงเรียกกันว่า  วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ”  หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า       เทคโนโลยี
เทคโนโลยี หมายถึง การใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เรียกว่า นักเทคโนโลยี ( Technologist )
เทคโนโลยีการศึกษา ( Educational Technology ) ตามรูปศัพท์ เทคโน ( วิธีการ )+โลยี ( วิทยา ) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการมาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้น เทคโนโลยีการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ
สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คำจำกัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการพัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งขึ้น
ดร.เปรื่อง  กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้สื่อการสอน ให้กว้างขวางขึ้นทั้งในด้านบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆ ในกระบวนการเรียนการสอน
เอ็ดการ์  เดล ( Edgar  Dale ) กล่าวว่า เทคโนโลยีการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบ ให้บรรลุผลตามแผนการ
นอกจากนี้เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยีการศึกษา มีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจจะพิจารณาจาก ความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีซึ่งมี 2 ประการ คือ
1) ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีการศึกษาหมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน มักไม่คำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา
ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามความคิดรวบยอดนี้ ทำให้บทบาทของเทคโนโลยีทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์เท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น ๆ เข้าไปด้วย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ   โสตทัศนศึกษา นั่นเอง
2) ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนำวิธีการทางจิตวิทยา มานุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตผลทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมิใช่เพียงการใช้เครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว
แหล่งที่มา

อรรคเดช โสสองชั้น.  ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศึกษา.  (ออนไลน์).

                เข้าถึงได้จาก : http://school.obec.go.th/sup_br3/t_1.htm(วันที่ค้นข้อมูล 10 มิถุนายน 2555).